โรคหัวใจ คืออะไร ?

โรคหัวใจ คืออะไร ?

   โรคหัวใจนั้นมีความหมายกว้างอาจเป็นได้หลายอย่าง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจ, โรคหัวใจ, โรคไฟฟ้าหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น แต่ในความหมายคนทั่วไป มักจะหมายถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่พบบ่อยและเป็นปัญหาในปัจจุบัน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทย สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือดหัวใจทีมีคราบไขมันมาเกาะสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ที่เรียกเป็น ตะกอนตะกรันในหลอดเลือด (Cholesterol Plague) เป็นเหตุให้หลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น หรือบางครั้งคราบไขมันนี้แตกทำให้ลิ่มเลือดมาอุดตันเฉียบพลัน ที่เรียก หัวใจวายหรือ Heart Attack

หลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน เกิดจากอะไร ?

ปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยจะพบบ่อยช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคมีดังนี้

1.ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
  •  อายุ  ความเสี่ยงของการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุ
  •  เพศ  เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิง แต่เพศหญิงที่หมดประจำเดือนแล้วจะไม่มีความแตกต่างกับเพศชาย
  •  กรรมพันธุ์  พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้
 2.ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้
  •  ความดันโลหิตสูง
  •  เบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ขบวนการของหลอดเลือดแข็ง และหนาตัวเกิดเร็วขึ้น
  •  การสูบบุหรี่
  •  ภาวะไขมันผิดปกติ คลอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้มีการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและหนาตัว
  •  โรคอ้วน ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน
  •  ความเครียดทางอารมณ์
  •  ขาดการออกกำลังกาย
 สัญญาณอันตราย เตือนหลอดเลือดหัวใจตีบ ?
  1. 1.เจ็บแน่นหน้าอก จะเป็นแบบ แน่นๆ หนัก ๆ เหมือนมีอะไรมากดทับ&รัด บริเวณทรวงอกด้านหน้า อาจมีร้าวไป กราม  คอ  ไหล่  ต้นแขนซ้ายได้  เป็นได้ทั้งตอนอยู่เฉยๆ  หรือออกกำลังกาย หรือมีภาวะตึงเครียด  อาจมีเหงื่อแตกร่วมด้วย  ส่วนอาการเจ็บหน้าอกแบบ จี๊ดๆ แปล๊บๆ  เหมือนเข็มแทง  หายใจเจ็บ หายใจไม่ออก มักเป็นจากสาเหตุอื่น
  2. 2.เหนื่อยง่ายกว่าปกติ เทียบกับคนปกติหรือสิ่งที่ตัวเองเคยทำเป็นประจำ ซึ่งไม่เคยเหนื่อย เช่น เคยเดินขึ้นสะพานลอยได้ กลายเป็นเดินขึ้นไม่ไหว ต้องพักก่อน
  3. 3.วูบ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว เป็นอาการแสดงสำคัญที่ต้องลำดับต่อว่า เป็นโรคหัวใจหรือโรคทางสมอง หรืออื่นๆ
โรคหัวใจไม่มีอาการแสดงเลยได้หรือไม่ ?

มีคนไข้ส่วนหนึ่งที่ไม่มีอาการใดๆ เลย แต่ตรวจพบตอนมาตรวจสุขภาพ หรือบางรายไปออกกำลังกาย อยู่ๆ ก็วูบหมดสติไป ถึงได้รู้ว่าเป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้น อย่าชะล่าใจว่าสบายดี  ไม่เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสไม่แสดงอาการมากกว่าคนปกติ (เพราะเส้นประสาทรับรู้เสียไป / เสื่อมลง ทำให้ความรู้สึกเจ็บน้อยลง หรือชาไม่เจ็บเลย)

จะทราบได้อย่างไรว่า...มีเรามีความเสี่ยงโรคหัวใจในอนาคต ?

การตรวจหาแคลเซียมหรือหินปูนในหลอดเลือดหัวใจคืออะไร ?

CT Calcium Score เป็นการตรวจปริมาณแคลเซียมที่ผนังของหลอดเลือดหัวใจ โดยใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ตรวจคัดกรองระดับหินปูนที่เกาะบริเวณหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อประเมินภาวะการอุดตันของหลอดเลือด ก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตสูง หรือประเมินแนวโน้มโอกาสในการที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต สามารถตรวจได้ทันที  ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ใช้เวลาน้อย ไม่เจ็บ ไม่ต้องฉีดสารทึบแสง

ใครบ้างที่ควรตรวจ CT Calcium Score ?
  • ผู้ที่มีอายุมากว่า 45 ปีขึ้นไป
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน และโรคไต
  • ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่
ผลตรวจแบบไหนถึงมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ?
โรคหัวใจ มีวิธีการรักษาอย่างไร ?
  • 1.การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
  • 2.ใช้ยา เพื่อควบคุมโรคหัวใจหรือปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจ
  • 3.การรักษาด้วยหัตถการหลอดเลือดหรือการผ่าตัด ได้แก่
    • - การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวด
    • - การขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบด้วยบอลลูน
    • - การผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ
ไขมันในเลือดสูง...กินอะไรดี ?

ภาวะไขมันในเลือดสูง ( Hyperlipidemia )  เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง  อันเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดแดงแข็ง  ( Altherosclerosis)  และหัวใจขาดเลือด (Coronary  Heart Disease) ไขมันที่ทำให้เกิดปัญหาและต้องควบคุมการรับประทานอาหาร  คือ คอเลสเตอรอล  และไตรกลีเซอไรด์

คอเลสเตอรอล (รวม) ( Total Cholesterol ) เป็นไขมันจำเป็นชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการ  เพื่อไปสร้างส่วนประกอบของเซลล์ประสาทและสมองสร้างฮอร์โมน  วิตามินดี  เกลือ  และกรดน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยไขมัน  ร่างกายสามารถสร้างโคเลสเตอรอลขึ้นได้เองประมาณ  80% โดยสร้างขึ้นและได้รับจากอาหาร   เช่น ไข่แดง  ตับ เครื่องในสัตว์  อาหารทะเล  ค่าปกติของคอเลสเตอรอลรวม  0 - 200  mg/dl  และคอเลสเตอรอลแบ่งย่อยที่สำคัญอีก 2 ชนิดคือ

1.คอเลสเตอรอลชนิดร้ายหรือ แอล ดี แอล  ( LDL-c : Low Density Lipoprotein Cholesterol ) ทำหน้าที่นำคอเลสเตอรอลไปสะสมที่เซลล์ส่วนปลาย   ไขมันชนิดนี้ร่างกายสร้างขึ้นเองส่วนหนึ่ง และมาจากอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ ค่าปกติของ แอล ดี แอล น้อยกว่า 130 mg/dl

2.คอเลสเตอรอลชนิดดี หรือ เอช ดี แอล  ( HDL-c : High Density Lipoprotein Cholesterol ) ทำหน้าที่ขนถ่ายคอเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ออกมาทำลาย 

ค่าปกติของ  เอช ดี แอล   มากกว่า  40  mg/dl (ในผู้ชาย )

                                      มากกว่า  50  mg/dl (ในผู้หญิง )

ไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride ) เป็นไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย  ส่วนหนึ่งร่างกายสร้างขึ้นเอง  อีกส่วนหนึ่งได้รับจากอาหารประเภทไขมันจากพืชและสัตว์ ค่าปกติของไตรกลีเซอไรด์ น้อยกว่า 150 mg/dl

คุมอาหารแบบไหนลดไขมันในเลือด
  1. 1.รับประทานอาหารที่มีไขมันหรือน้ำมันน้อย  โดยเลือกวิธีการหุงต้มแบบ  ต้ม  ตุ๋น  นึ่ง  อบ หรือาหารผัดที่ใช้น้ำมันน้อย
  2. 2.เลือกน้ำมันพืช ชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงในการประกอบอาหาร (ในปริมาณวันละ2-3 ช้อนโต๊ะ)  เช่น

2.1 น้ำมันถั่วเหลือง  น้ำมันข้าวโพด  น้ำมันดอกทานตะวัน  น้ำมันในกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการผัดหรือการใช้ ความร้อนไม่สูงมาก

2.2 น้ำมันมะกอก  น้ำมันรำข้าว  น้ำมันในกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการทอดหรือความร้อนสูง เพราะทนความร้อนได้ดีกว่า

  1. 3.ควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน   ปลาทะเล  เต้าหู้เป็นประจำ ช่วยเพิ่มระดับ  เอช ดี  แอล และช่วยลดระดับแอล ดี แอล ในเลือด 
  2. 4.รับประทานผักและผลไม้ที่ไม่หวานจัดเป็นประจำทุกมื้อและให้หลากหลาย (ผัก ผลไม้ ไม่ควรน้อยกว่า 400 กรัม/วัน)
  3. 5.หลีกเลี่ยงอาหารทอด  อาหารที่มีปริมาณไขมันหรือน้ำมันมาก เช่น  ข้าวมันไก่  ข้าวขาหมู  ผัดไท ปาท๋องโก๋  กล้วยทอด  ทอดมัน
  4. 6.หลีกเลี่ยงไขมันหรือน้ำมันชนิดกรดไขมันอิ่มตัวสูง (Saturated  Fatty Acid )  เช่น  เนื้อสัตว์ติดมัน  เบคอนน้ำมันหมู น้ำมันไก่  เนยสด   กะทิ  น้ำมันปาล์ม  น้ำมันมะพร้าว 
  5. 7.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน  ตับ  เครื่องในสัตว์  ไข่แดง เนย อาหารทะเล(โดยเฉพาะปลาหมึก ปู หอยต่างๆ)
  6. 8.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานซ์ ( Trans Fatty Acid ) เช่น พาย โดนัท  ขนมขบเคี้ยว  เนยเทียม  มาการีน  หรือขนมเบเกอรี่ต่างๆ
  7. 9.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานหรือที่มีน้ำตาลสูง  เช่น  ขนมหวานชนิดต่างๆ  น้ำหวาน  น้ำอัดลม  น้ำผลไม้ต่างๆ
  8. 10.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้
  9. 11.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  (องค์การอนามัยโลกแนะนำการออกกำลังกายไม่ควรน้อยกว่า150นาที/สัปดาห์)
  10. 12.ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ในเกณฑ์มาตรฐาน ( ค่า BMI= 18.5-22.9 )

อ้างอิง

บทความ เรื่อง โรคหัวใจขาดเลือดภัยเงียบใกล้ตัว
https://www.nonthavej.co.th/heart-attack-early-diagnosis.php
นพ.เรย์ ศรีรัตนา ทาบูกานอน

โบชัวร์ เรื่อง อาหารบำบัดภาวะไขมันในเลือดสูง
แผนกโภชนาการ
https://online.fliphtml5.com/gowyy/pnvq/#p=4