ศูนย์นรีเวช

เพราะเราเข้าใจความแตกต่างของสตรีในทุกช่วงวัยและตระหนักถึงความต้องการของผู้หญิงที่อยากมีสุขภาพดี ศูนย์นรีเวช โรงพยาบาลนนทเวช จึงพร้อมดูแลสุขภาพสตรีทุกช่วงวัยอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจสุขภาพไปจนถึงการวินิจฉัยโรค การป้องกัน และรักษาโรค แบบครบวงจร โดยทีมแพทย์กว่า 40 คน และทีมพยาบาลวิชาชีพ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย ตามมาตรฐานสากล

ขอบเขตการให้บริการ และบริการเฉพาะทาง ศูนย์นรีเวช

วินิจฉัยครบวงจรเพื่อตรวจและป้องกันโรคทางนรีเวช
  •  ตรวจสุขภาพทางนรีเวช เพื่อตรวจคัดกรองโรคมะเร็งของระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี
  •  ตรวจความผิดปกติของปากมดลูก ด้วยการส่องกล้อง Colposcope และตรวจรักษาด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ 4 มิติ
  •  ตรวจมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องดิจิตอลแบบเมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์
  •  ตรวจอัลตราซาวนด์ทางสูตินรีเวช เพื่อวินิจฉัยโรคและความผิดปกติอวัยวะภายในสตรี
  •  ตรวจหาความหนาแน่นของมวลกระดูก
รักษาโรคทางนรีเวช

โรงพยาบาลนนทเวช มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนรีเวชให้การรักษาครอบคลุมทุกโรคของสตรี เช่น

  •  ภาวะผิดปกติของการมีประจำเดือน ปวดประจำเดือน มีตกขาว และภาวะความผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ของสุภาพสตรี    ( กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ,ปัสสาวะเล็ด )
  •  โรคมะเร็งในสตรีทุกชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และมะเร็งเต้านม พร้อมให้บริการรักษาอย่างครบวงจร  และดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
  •  ให้การรักษาผู้ที่มีปัญหาทางนรีเวช ด้วยการผ่าตัดและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
  •  การรักษาอาการปวดท้องน้อย ปวดประจำเดือน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการป่วยของโรคทางนรีเวชได้แก่ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, ช็อกโกแลตซีสต์, เยื่อบุโพรงมดลูกแทรกกล้ามเนื้อมดลูก, เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก, พังผืดในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น อาการปวดจะแตกต่างกันไปจากสาเหตุที่แตกต่างกัน เช่น
    •  ปวดระดู มากขึ้นเรื่อย ๆ
    •  ปวดระดู มากจนต้องกินยาแก้ปวดเป็นประจำ
    •  ปวดระดู  มากจนต้องเพิ่มขนาดยาแก้ปวดมากขึ้น
    •  ต้องไปพบแพทย์ทุกครั้ง เพื่อฉีดยาแก้ปวดเมื่อมีระดู
    •  มีระดู ปวดท้องน้อยมากจนเป็นลม
    •  มีระดู มีอาการปวดจากหลัง ไปเอวจนถึงก้นกบ ร้าวไปที่ขา
    •  มีระดู มีอาการปวดไปทวารหนัก
    •  มีอาการปวดร้าว ลงขา เมื่อมีระดู
    •  มีระดู มีอาการท้องอืด ท้องบวม ท้องใหญ่ขึ้น
    •  ถ่ายอุจจาระช่วงมีระดูจะปวดเบ่งถ่ายมากกว่าปกติ
    •  มีระดู จะปัสสาวะบ่อยมากกว่าปกติ
    •  ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดระดู ได้รับตรวจหลายครั้งไม่พบความผิดปกติ
    •  มีเพศสัมพันธ์กับแฟน จะเจ็บมดลูก เจ็บท้องน้อย
การวินิจฉัยและรักษาโรคทางนรีเวชด้วยการผ่าตัด

   โรงพยาบาลนนทเวช พร้อมให้การรักษาโรคทางนรีเวชด้วยการวินิจฉัยที่รวดเร็ว แม่นยำ และผ่าตัดด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัย ลดความเจ็บปวด และลดระยะเวลาในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

  •  ตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยวิธี Liquid - Based Cytology
  •  การตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Vaginal Ultrasound)
  •  การตรวจชนิดของเชื้อไวรัส HPV ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
  •  การส่องกล้องตรวจความผิดปกติของปากมดลูก แล้วนำเนื้อเยื่อที่ผิดปกติมาตรวจทางพยาธิวิทยา
  •  การตัดเนื้อปากมดลูกตรวจโดยใช้กล้องคอลปสโคปช่วย (Colposcopic Directed Biopsy )
  •  การจี้เย็น (Cryosurgery)
  •  การผ่าตัดเซลล์ที่ผิดปกติออกจากมดลูกด้วยลวดไฟฟ้า ( Loop Electrosurgical Excision Procedure
  •  การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy )
  •  การผ่าตัด ( Surgery )
การวินิจฉัยและการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
  •  การตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด เพื่อสืบค้นรอยโรคที่ซ่อนเร้น และสามารถค้นหาเนื้องอกมดลูก ถุงน้ำรังไข่ ช็อคโกแล็ตซีสต์ เนื้องอกรังไข่ มะเร็งรังไข่ ในระยะเริ่มแรกได้เร็วยิ่งขึ้น โอกาสในการรักษาหายจึงเพิ่มมากขึ้น
  •  การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกในระยะเริ่มแรกด้วยการตรวจหา HPV DNA ร่วมกับการตรวจหาเซลล์ผิดปกติด้วยของเหลว (Liquid Based Cytology) สามารถตรวจพบไวรัสที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูก ซึ่งจะช่วยค้นหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกและแพทย์จะรักษาให้หายขาดได้ก่อนที่มะเร็งปากมดลูกจะเกิดขึ้น
  •  การส่องกล้องตรวจความผิดปกติของปากมดลูก แล้วนำเนื้อเยื่อที่ผิดปกติมาตรวจทางพยาธิวิทยา เป็นการตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่สงสัยมีเซลล์เปลี่ยนแปลงหรือเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก โดยทั่วไปนิยมส่องกล้องตรวจในผู้ที่พบความผิดปกติจากการตรวจ Pap Smear หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ
การดูแลรักษาสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือ วัยทอง

     เมื่ออายุมากขึ้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ โรงพยาบาลนนทเวชมีแพทย์พร้อมที่จะดูแลและให้คำแนะนำให้คุณสุภาพสตรีเตรียมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ โดยให้การบริการ อาทิ

  •  ให้คำแนะนำสำหรับการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
  •  ให้คำปรึกษาและรักษาในเรื่องฮอร์โมน กระดูก และอื่นๆ
  •  ตรวจหาความหนาแน่นของกระดูกเพื่อวิเคราะห์โรคกระดูกพรุนในวัยทอง
 

หนึ่งความภาคภูมิใจกับรางวัลคุณภาพ

“ โรงพยาบาลที่มีการออกแบบระบบงานเพื่อการดูแลผู้ป่วยที่มีคุณภาพโดยอาศัยพื้นฐานทางวิชาการ 
มีการพัฒนาต่อเนื่องเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการดูแลโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 
(Endometriosis) ”

     สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ร่วมกับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ได้ดำเนินโครงการ “บริการทางการแพทย์ที่เป็นแบบอย่างที่ดี (Good Practice)” มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการพัฒนาระบบงานคุณภาพในหน่วยบริการ ค้นหาการบริการทางการแพทย์ที่เป็นแบบอย่างที่ดี และต่อยอดองค์ความรู้ที่จะพัฒนาระบบคุณภาพของโรงพยาบาลเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ  รวมทั้งสนับสนุนและผลักดันโรงพยาบาลให้มีคุณภาพการรักษาที่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การรับรองคุณภาพโรงพยาบาล HA (Hospital  Accreditation) จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศของบริการทางการแพทย์

     ปัจจุบันอุบัติการณ์การเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่(Endometriosis) ในสตรีวัยเจริญพันธุ์พบประมาณร้อยละ 10-15 และอุบัติการณ์จะสูงขึ้นในสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน คือ ร้อยละ 71-87 กรณีสตรีที่มีบุตรยากอุบัติการณ์ของโรค คือ ร้อยละ 38 โดยอาการนำในผู้ป่วยโรค Endometriosis ที่พบบ่อย 3 อันดับแรก ได้แก่ ปวดประจำเดือน , ปวดท้องน้อย และ ประจำเดือนผิดปกติ ตามลำดับ * เมื่อประเมินคะแนนความรุนแรงของภาวะโรค(Severe score) หรือระดับความรุนแรง(Staging) ของผู้ป่วยตาม The American Fertility Society Revised  Classification of Endometriosis พบว่า ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 57 คะแนน และจัดอยู่ในระยะรุนแรง(Stage 4 : Severe score>40) มากที่สุดเท่ากับ 65%  การรักษาที่ดีที่สุดและสำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร ควรรักษาด้วยการผ่าตัด   ซึ่งวิธีที่นิยมและเป็นมาตรฐาน คือ การผ่าตัดโดยใช้กล้อง (Laparoscopic Surgery)  เนื่องจากแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว และที่สำคัญคือ มีโอกาสเกิดพังผืดภายหลังการผ่าตัดน้อยกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต

     โรงพยาบาลนนทเวช  มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย คือ Narrow  Band Imaging(NBI) ช่วยในการค้นหารอยโรคในขณะผ่าตัดได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้เพิ่มประสิทธิผลในการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ดียิ่งขึ้น  ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการผ่าตัด Laparoscopic Surgery  และ ไม่เกิดภาวะติดเชื้อในโพรงมดลูก/ในช่องท้องหลังจากทำผ่าตัด

     ด้วยศักยภาพและความพร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทีมพยาบาล และทีมสหสาขาวิชาชีพ ที่ให้การดูแลรักษาตามมาตรฐานคุณภาพการรักษาระดับสากล JCI และมาตรฐานบริการทางการแพทย์ที่เป็นแบบอย่างที่ดี(Good Practice) ในการดูแลผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่(Endometriosis) รับรองโดยสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(องค์การมหาชน)
* จากสถิติผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรงพยาบาลนนทเวช ตั้งแต่ปี 2554-2556

ปวดประจำเดือนเรื้อรัง อันตราย! หากละเลยหรือหายารักษาเอง

     ผู้หญิงส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นอาการปวดประจำเดือน จะปวดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน หลายคนเลือกทานยาบรรเทาอาการปวด บางรายแม้จะทานยาแต่อาการปวดยังไม่ดีขึ้นจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ปวดจนไปเรียนหรือไปทำงานไม่ได้ รวมทั้งมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดร้าวไปหลัง ก้นกบ ต้นขา ปัสสาวะบ่อย ปวดเบ่งขณะขับถ่าย หรือเจ็บท้องน้อยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หากละเลยอาการ ปล่อยไว้นาน และซื้อยามารับประทานเอง อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว

   นพ.ประทีป หาญอิทธิกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชและมีบุตรยาก ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลนนทเวช กล่าวว่า “ผู้หญิงที่ปวดประจำเดือนบ่อยและปวดมาก พบว่าร้อยละ 70 เป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นอกนั้นเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกแทรกในกล้ามเนื้อมดลูก มีพังผืด หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามจนเกิดปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อมีอาการปวดท้องทั้งก่อนหรือขณะมีประจำเดือน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งเห็นผลชัดเจนกว่าการตรวจทั่วไป”

   “ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการปวดประจำเดือนจนเป็นอันตรายร้ายแรง คือ การซื้อยารับประทานเอง โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนผิดปกติ มาน้อย มาไม่ปกติ และเลือกรับประทานยาสมุนไพรหรือยาสตรี ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ถูกต้อง ซึ่งยาสตรีที่วางขายอยู่ในตลาดมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อทานเข้าไปมาก ๆ จะกลายเป็นการเร่งเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่โตขึ้น ทำให้เกิดการเติบโตมากขึ้น แทนที่จะหายก็กลายเป็นปวดท้องยิ่งกว่าเดิม อาจร้ายแรงจนต้องรักษาด้วยการผ่าตัด และส่งผลกระทบทำให้มีบุตรยากในอนาคต เนื่องจากพังผืดไปพันรัดท่อนำไข่ ทำให้คดงอหรือตีบตัน”

การปวดประจำเดือนเรื้อรัง

   “ส่วนใหญ่แล้วโรคทางนรีเวชจะแปรผันตามอายุ ถ้าอายุเพิ่มขึ้นจะพบโรคหรืออาการได้มากขึ้น ซึ่งสาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือนที่พบบ่อย คือ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากเลือดประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับไปที่ท่อนำไข่ ตกลงในอุ้งเชิงกราน และฝังตัวในที่ต่าง ๆ เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุช่องท้อง หรือนอกช่องท้อง ซึ่งอาการปวดจะแตกต่างกันออกไปตามตำแหน่งการฝังตัว และจะเจริญเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเปรียบเหมือนปุ๋ยสำหรับต้นไม้ ช่วงแรกจะเป็นตุ่มเล็ก ๆ เมื่อฝังตัวมากขึ้นจะเป็นพังผืดขึ้น และสะสมนานจนเกิดเป็นซีสต์ เลือดจะข้น สีเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกว่า "ช็อกโกแลตซีสต์” สำหรับเยื่อบุโพรงมดลูกที่แทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหนาและมดลูกโต เกิดอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง ประจำเดือนมามาก ปวดปัสสาวะบ่อย ปวดร้าวไปหลังหรือเอวได้”

รู้เร็ว รักษาได้ หายไว ฟื้นตัวเร็ว!

   “อาการปวดประจำเดือนเรื้อรัง สามารถรักษารอยโรคให้เล็กหรือมีอาการน้อยลงได้ ด้วยยาหรือรักษาโดยการผ่าตัด จะทำการตัดเลาะและจี้ทำลายส่วนที่เป็นโรคออกไป ในบางรายที่มีรอยโรคมากจะผ่าตัดเลาะพังผืดและรักษาด้วยยาต่อไป  ปัจจุบันนิยมใช้การผ่าตัดแบบส่องกล้องช่องท้องมากที่สุด  เพราะกล้องมีกำลังขยายถึง 20 - 30 เท่า สามารถขยายจุดเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ให้มองเห็นทั่วช่องท้องได้อย่างชัดเจน เก็บรายละเอียดได้มากกว่า เพื่อให้สภาพภายในกลับสู่สภาวะปกติมากที่สุด  ทำลายรอยโรคที่มองเห็นออกให้มากที่สุด แต่แผลผ่าตัดผ่านกล้องจะเล็กกว่า เจ็บแผลน้อย ฟื้นตัวไว อาการหลังผ่าตัดเกิดน้อยกว่า อาทิ พังผืด การบวมช้ำ ติดเชื้ออักเสบ”

   ปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาไปมาก การตรวจภายในไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป และสามารถรักษาโรคได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นเมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่าเกิดความผิดปกติขึ้น อย่างอาการปวดท้อง จะปวดน้อยหรือมากควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจให้ชัดเจน และรักษาก่อนที่จะสายเกินไป ให้เกิดความเสียหายกับร่างกายน้อยที่สุด หรือลดโอกาสการเป็นโรคร้ายแรง