ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคนี้สำคัญอย่างไร
อันตรายจากกระดูกหัก
เป็นผลอันร้ายแรงที่เกิดขึ้นหลังจากกระดูกพรุน กรณีเกิดกระดูกสันหลังหักจะมีความเจ็บปวดมากจำเป็นต้องนอนพักในเตียงนานเป็นเดือน
ความเจ็บปวด
เมื่อขยับตัวจะเจ็บมากและจะทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยความลำบาก
หลังโก่ง
หลังจากนั้นหลังจะโก่ง ค่อมลง ส่วนกระดูกต้นขามักจะหักตอนหกล้ม
ต้องผ่าตัด
ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะได้รับการผ่าตัดเพื่อใส่เหล็กที่กระดูกต้นขาใหม่แทนส่วนที่หัก บางคนไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัด อาจเป็นเพราะมีโรคประจำตัวที่ทำให้มีความเสี่ยงในการผ่าตัดสูงขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยกระดูกต้นขาหักทั้งที่ได้รับการผ่าตัดและไม่รับการผ่าตัดมากกว่าครึ่ง จะไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป
ผู้ป่วยติดเตียง
จะต้องใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียง และต่อมามักจะเสียชีวิตเนื่องจากมีโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น ปอดบวม มีแผล กดทับที่สะโพก สำลักอาหาร เป็นต้น ผู้ป่วยที่ไม่เสียชีวิตก็ต้องการการดูแลช่วยเหลือมากขึ้น เป็นภาระมากขึ้นจะเห็นว่าเป็นปัญหาทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
ภัยที่น่ากลัวกว่านี้ก็คือ
โรคกระดูกพรุนมักเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นสะสมในร่างกายมานาน โดยที่ผู้ป่วยไม่ทราบเพราะไม่มีอาการแต่อย่างใด จนกว่าจะเกิดอุบัติเหตุกระดูกหัก จึงทำให้คนจำนวนมากไม่ทราบว่าสภาวะกระดูกของตนเองนั้นบางไปมากน้อยเพียงใดแล้ว และไม่ได้สนใจที่จะดูแลป้องกันภาวะกระดูกพรุนอย่างจริงจัง
โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
หญิงวัยหมดประจำเดือน : จะพบว่ามีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียเนื้อกระดูกมากขึ้น 10% ภายใน 5 ปีแรกที่หมดประจำเดือน
อายุ 40 ปี : ร่างกายจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ทั้งในชายและหญิงประมาณ 0.5 – 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
อายุ 50 ปี : ในคนเอเชียพบว่าจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูกเพิ่มมากขึ้นเป็น 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี หลังจากช่วงนี้แล้วอัตราการสูญเสียเนื้อกระดูกจะลดลงเข้าสู่แบบเดิมคือ ประมาณ 0.5 – 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
สาเหตุอื่น ที่เกิดกระดูกพรุน
1.พันธุกรรม พบว่าชาวผิวขาวมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าชนผิวดำ ( นิโกร ) ส่วนชาวเอเชีย ( รวมทั้งคนไทย ) เป็นพวกเผ่ามองโกลอย จะเก็บสะสมเนื้อกระดูกได้มากกว่าชาวผิวขาวแต่น้อยกว่าชาวผิวดำ
2.ปริมาณแคลเซียมที่ได้รับและเก็บสะสมไว้ในขณะนั้น ซึ่งปริมาณแคลเซียมที่เหมาะสมของแต่ละช่วงอายุมีดังนี้
ช่วงอายุ ( ปี ) |
ปริมาณแคลเซียมที่เหมาะสม (มก./วัน) |
เด็ก (1-9 ปี) | 800 |
วัยรุ่น (10-19 ปี) | 1,200 |
ผู้ใหญ่ (20-60 ปี) | 800 |
หญิงมีครรภ์และให้นมบุตร | 1,200 |
หญิงวัยหมดประจำเดือน | 1,000 |
วัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) | 800 |
ถ้าได้รับปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอในแต่ละวัย ก็เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากขึ้น
3.สารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างเนื้อกระดูก
- 3.1 โปรตีน ปริมาณอาหารโปรตีนที่รับประทานจะต้องสมดุลกับปริมาณแคลเซียมด้วย มีรายงานหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า การบริโภคโปรตีนที่มากเกินไป จะทำให้มีการสูญเสียแคลเซียม ออกมาทางปัสสาวะในปริมาณที่มากกว่าที่พบในกลุ่มที่บริโภคโปรตีนต่ำกว่า
- 3.2 ฟลูออไรด์ แมกนีเซียม และโปรแตสเซียม เหล่านี้เป็นสารที่พบปริมาณน้อย แต่มีความจำเป็นในการสร้างกระดูก
- 3.3 ฮอร์โมนเพศ เพศหญิงจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงนั้นสุขภาพสตรีทุกคนจะมีการสูณเสียเนื้อกระดูกอย่างรวดเร็ว (3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ) ถ้าคูณตัวเลขเหล่านี้จะเห็นว่าสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์ ของกระดูกในร่างกาย สำหรับเพศชายนั้นไม่มีช่วงที่สูญเสียเนื้อกระดูกมากๆ อย่างในหญิงวัยหมดประจำเดือน ยกเว้นว่ามีความผิดปกติของการผลิตฮอร์โมนเพศชายจะทำให้เนื้อกระดูกบางกว่าปกติ
- 3.4 หญิงที่มีการผ่าตัดเอารังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง จะเกิดการสูญเสียเนื้อกระดูกในลักษณะดังกล่าวในช่วงหลังการผ่าตัด
4.ปัจจัยที่สร้างการต้านสะสมเนื้อระดูก
- 4.1 การทานโซเดียมหรือเกลือมากเกินไป ร่างกายจะต้องขับเกลือส่วนเกินออกทางปัสสาวะ และจะขับแคลเซียมออกมาด้วย ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมไปทางปัสสาวะมากขึ้น
- 4.2 แอลกอฮอล์ บุหรี่และกาแฟ จะลดการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารเข้าสู่ร่างกาย ทำให้การเนื้อกระดูกไม่มีประสิทธิภาพ
- 4.3 ยาหลายชนิดโดยเฉพาะสเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้จะทำให้มีการสลายของกระดูกมากขึ้น จนเกิดภาวะกระดูกพรุนจะมีอาการปวดหลังปวดกระดูกตามมา
- 4.4 คนที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ (Hyperthyroidism ) และโรค Cushing
5.ลักษณะการดำเนินชีวิต ( Lifestyle ) การทำงานออกแรง และการออกกำลังกายจะทำให้เกิดแรงกดที่กระดูก ซึ่งจะทำให้ร่างกายเสริมกระดูกให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น