ในปัจจุบันมีการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจหลอดเลือดสมองและเส้นเลือดบริเวณคอมากขึ้น เนื่องจากตรวจได้ง่าย ราคาไม่สูงมากนัก ทําให้ใช้ในการตรวจคัดกรองได้ดี โดยเฉพาะในการตรวจพยาธิสภาพของหลอดเลือดแดงบริเวณคอ ซึ่งปัจจุบันพบว่าถ้ามีการตีบของหลอดเลือดแดงบริเวณคออย่างมีนัยสําคัญ การผ่าตัด Carotid Endarterectomy โดยผู้ที่มีความชํานาญสามารถป้องกันการเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ดีกว่าการใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียว
การตรวจหลอดเลือดทางประสาทวิทยาโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง สามารถแบ่งการตรวจเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. การตรวจหลอดเลือดใหญ่บริเวณคอ ได้แก่หลอดเลือด Carotid และหลอดเลือด Vertebral (Carotid Duplex Ultrasounds)
2. การตรวจหลอดเลือดในกระโหลกศีรษะ (Transcranial Duplex ultrasound)
การตรวจหลอดเลือด Carotid และ Vertebral บริเวณคอ
การตรวจหลอดเลือด Carotid บริเวณคอ จะตรวจในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ( รวมถึงภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราว Transient Ischemic Attack : TIA ด้วย) นอกจากนี้ยังใช้คัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหลอดเลือด เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดแดง Coronary หรือหลอดเลือดส่วนปลายแขน/ขาตีบ และผู้ป่วยที่ถูกตรวจพบว่ามี Carotid bruit รวมทั้งใช้ในการประเมินหลังจากผ่าตัดหลอดเลือด Carotid หรือหลังจากใส่ Stent ซึ่งการตรวจนี้มีความจําเพาะสูงเมื่อเทียบกับการตรวจเอกซเรย์หลอดเลือดแดง (Angiography)
ใครบ้างที่ต้องตรวจหลอดเลือดใหญ่บริเวณคอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid Duplex Ultrasounds)
· ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เพื่อดูรอยโรคของหลอดเลือดแดง Carotid และติดตามผลเป็นระยะ
· ผู้ป่วยที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราว (TIA)
· ผู้ป่วยที่มีภาวะผิดปกติที่หลอดเลือดแดง Carotid ทั้งรายที่มีอาการและไม่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองที่มีการขาดเลือดเฉพาะที่
· ผู้ที่ต้องผ่าตัดโรคหลอดเลือดอื่นๆ เช่น ผ่าตัดตัดต่อหลอดเลือดแดงหัวใจในรายที่มีหลอดเลือดแดงหัวใจอุดตัน เพื่อตรวจประเมินค่าก่อนนำผู้ป่วยไปผ่าตัด
· ตรวจสุขภาพเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่มีประวัติมีบุคคลในครอบครัวเป็นอัมพาต จากอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง
การนําผลการตรวจไปใช้
1. ในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองตีบและมีอาการของสมองขาดเลือดหรือ TIA ข้างเดียวกับที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองตีบ (symptomatic ICA stenosis) ซึ่งมีการตีบของหลอดเลือดนี้มากกว่าร้อยละ 70-99 การทําการผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอ (Carotid endarterectomy) โดยผู้ที่มีความชํานาญ พบว่าช่วยลดการเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้อย่างมีนัยสําคัญเทียบกับการรักษาด้วยยามาตรฐานอย่างเดียว และในรายที่พบว่ามีการตีบของหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมอง ร้อยละ 50-69 ก็จะมีความเสี่ยงของภาวะสมองขาดเลือดมากขึ้นอาจต้องทําการตรวจติดตามต่อไป อย่างไรก็ตามการประเมินการตีบของหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองต้องอาศัยการตรวจหลอดเลือดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การตรวจหลอดเลือดด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Angiography) หรือการตรวจหลอดเลือดด้วยพลังงานแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Angiography : MRA)
2. ลักษณะของคราบไขมันที่เกาะบริเวณผนังหลอดเลือด (Atherosclerotic plaque) ในผู้ป่วยบางรายที่มีการตีบของหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองแต่ไม่มาก อาจพบว่าลักษณะของคราบไขมันที่เกาะบริเวณผนังหลอดเลือดมีผิวที่ขรุขระหรือมีแผล (Ulceration) หรือคราบไขมันที่เกาะบริเวณผนังหลอดเลือดที่มีก้อนเกร็ดเลือดเกาะที่ผิวสัมพันธ์กับการเกิดภาวะสมองขาดเลือดมากขึ้น แตกต่างจากคราบไขมันที่เกาะบริเวณผนังหลอดเลือดที่มีแคลเซียมเกาะจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า
3. ความหนาของผนังหลอดเลือดชั้น Intima-Media ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะหลอดเลือดแดงเสื่อมจากไขมันแทรกที่ผนังหลอดเลือด ทั้งนี้เคยมีรายงานว่าผู้ที่มีความหนาของผนังหลอดเลือดชั้น Intima-Media มากกว่า 0.8 มิลลิเมตร จะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองมากขึ้น
4. จากการตรวจหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound) สามารถวัดความเร็วของการไหลของเลือดบริเวณที่มีการการตีบโดยประเมินเป็นภาพเคลื่อนไหวและกราฟ ในกรณีที่มีการตีบรุนแรงความเร็วของเลือดจะยิ่งสูงขึ้น และสามารถวิเคราะห์รูปร่างของกราฟที่ปรากฏ (Waveform Morphology) ทั้งในหลอดเลือด Carotid และ Vertebral ซึ่งสามารถบอกภาวะความผิดปกติที่เฉพาะได้
5. ความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะเลือดออกและเซาะในชั้นผนังของหลอดเลือดแดง (Carotid dissection) สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเช่นกัน
ข้อจํากัดในการตรวจหลอดเลือดบริเวณคอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1. มีข้อจํากัดในผู้ป่วยที่มีแผลหรือแผลเป็นบริเวณคอ
2. ผู้ป่วยที่มีคอสั้นหรืออ้วนมาก (คอหนา)
3. ผู้ป่วยรายที่มีการแตกแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ค่อนข้างสูงชิดกับขากรรไกรล่าง ทําให้ไม่สามารถตรวจหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนคอที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองได้ชัดเจน
4. มีหินปูนสะสมที่ผนังหลอดเลือดหนา ทําให้ไม่สามารถเห็นหลอดเลือดได้ชัด
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการตรวจรักษา
· ไม่มีผลข้างเคียง
· ปลอดภัย
· ไม่เจ็บปวด
· ทำซ้ำได้โดยไม่อันตราย
การปฏิบัติตัวก่อน-หลัง
· ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร
· ไม่ต้องเตรียมตัวใดๆ ทั้งก่อน - หลังตรวจ
· ไม่มีข้อห้ามในการปฏิบัติตัวก่อน-หลังตรวจ
การตรวจหลอดเลือดสมองด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางกะโหลกศีรษะ ( Transcranial Duplex ultrasound )
ประโยชน์ของการตรวจหลอดเลือดสมองด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงผ่านทางกะโหลกศีรษะ
1. ประเมินว่าหลอดเลือดใหญ่เส้นใดในสมองที่มีการตีบหรืออุดตัน
2. ประเมินการไหลเวียนของหลอดเลือดที่เข้ามาช่วยเหลือบริเวณขาดเลือดขณะที่มีการตีบของหลอดเลือดในสมอง (Collateral circulation)
3. ใช้ติดตามและวินิจฉัยภาวะวิกฤตบางอย่างได้ เช่น หลอดเลือดหดตัว (Vasospasm) ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subarachnoid hemorrhage) ซึ่งอาจเกิดในช่วงวันที่ 4-11 หลังจากเกิดอาการ หรือใช้ติดตามในภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง
4. ใช้เฝ้าระวังติดตามภาวะลิ่มเลือดขนาดเล็กหลุดมายังหลอดเลือดสมองที่ เรียกว่า Microembolic signal (MES) โดยใช้การตรวจอย่างต่อเนื่อง (Transcranial Ultrasound Monitoring) ติดต่อเป็นระยะเวลา 30-120 นาที
5. ตรวจการปรับสมดุลของหลอดเลือดแดงในสมองโดยอัตโนมัติ (Autoregulation) โดยดูการตอบสนองของหลอดเลือดแดงในสมองต่อภาวะต่างๆ (Vascular Reactivity) หลังจากทําให้มีการเปลี่ยนแปลงระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดหรือหลังจากการให้ยา acetazolamide
ข้อจํากัดในการตรวจหลอดเลือดสมองด้วย Transcranial Ultrasound
1. ผู้ป่วยที่มีส่วนบางของกะโหลกที่คลื่นเสียงความถี่สูงผ่านได้ (Bone Window) หนาเกินไปหรือแคบมากจนคลื่นเสียงไม่สามารถผ่านได้ดีพอ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สูงอายุ ผู้ป่วยเพศหญิง ผู้ป่วยผิวดํา
2. ในรายที่ตรวจไม่พบการไหลเวียนของเลือด บางครั้งแยกได้ยากว่าตรวจไม่พบหลอดเลือดหรือมีการอุดตันจริง
ข้อมูลโดย :
นพ.พลสันต์ เรืองคณะ
อายุรแพทย์ระบบประสาท
ศูนย์สมองและระบบประสาท (Comprehensive Neurology Center)
โรงพยาบาลนนทเวช